Thursday, 23 March 2023

“อากงจุน” ที่บริจาค มูลนิธิรามาฯ 900 ล. ติดอันดับมหาเศรษฐีใจบุญแห่งเอเชีย “เด็กก้าวไกล” จี้ ดีลจนลืม “ปชช.”

อาจไม่เห็น “Forbes” เป็น “สลิ่ม” หลังสรรเสริญ “อากงจุน” ผู้จัดตั้ง ฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐี ใจบุญแห่งทวีปเอเชีย นักประวัติศาสตร์ แนะจะต้องแก้ ม.112 เข้มขึ้น ไม่ใช่ให้เสื่อมลง “เด็กก้าวไกล” สุดทนนักลงคะแนน มัวแต่ดีลกระทั่งลืม ประชาชน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 ธันวาคม 65) เพจเฟซบุ๊ก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์ภาพ พร้อมแชร์ CocoNews บอกว่า

“Forbes ยกย่อง “อากงจุน” ผู้ก่อตั้งฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจดีแห่งเอเชีย

นิตยสาร Forbes ได้ประกาศทำเนียบรายชื่อ วีรบุรุษผู้ใจบุญแห่งเอเชีย Asia’s 2022 Heroes of Philanthropy ครั้งที่ 16 โดยได้จัดอันดับมหาเศรษฐีผู้ใจดีทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้อุทิศเงินส่วนตัวช่วยเหลือการบุญ ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสภาพแวดล้อม แล้วก็ ทางสังคม

โดยในปีนี้ มี 1 คนไทยติดอันดับด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครไหน คือ “อากงจุน” นายจุน วนวิทย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทพัดลม ฮาตาริ นั่นเอง

โดยในปีนี้ รายชื่อผู้ที่ได้รับคัดมีทั้งสิ้น 15 คน อาทิเช่น Melanie Perkins แล้วก็ Cliff Obrecht ผู้ร่วมจัดตั้งขึ้นแอปฯ มีชื่อเสียงอย่าง Canva ที่เซ็นชื่อในพันธสัญญาว่า จะบริจาคเงินที่ได้จากแอปฯ เพื่อช่วยเหลือองค์กรการบุญต่าง ๆ

แล้วก็ยังมี ฮิโรชิ มิกิตานิ ผู้จัดตั้ง และ ซีอีโอ ของแพลตฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์ Rakuten ที่บริจาคเงินบริจาคองค์กร ที่เกื้อหนุนด้านมนุษยธรรม เป็นปริมาณมหาศาล

ในเวลาที่ อากงจุน ก็ได้รับการเลือกเฟ้น จากเรื่องราว เมื่อ เดือนสิงหาคม ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา หลังครอบครัว วนวิทย์ ได้บริจาคเงินส่วนตัว กว่า 900 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิรามาธิบดี

โดยทางมูลนิธิฯ ได้ออกมาขอบคุณ รวมทั้ง ยังเผยอีกว่า อากงจุน รวมทั้ง ครอบครัว บริจาคเงินอุดหนุนทุน แผนการต่าง ๆ ตั้งแต่แมื่อปี 2551 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นยอดเงินช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้น 1,317,397,000 บาท

ทั้งนี้ ช่วงวันที่ 28 ก.ค. 2565 เว็บสถาบันทิศทางไทย โพสต์หลักสำคัญสามนิ้ว วิตกจริต!? ผลักไส “ฮาตาริ” อยู่ฝั่งตรงข้ามทางด้านการเมือง เพียงแค่เพราะ บริจาคเงิน 900 ล้าน ให้มูลนิธิรามาธิบดีฯ โดย XXPiYaXX

เนื้อเรื่องกล่าวว่า ต่อเนื่องจากกรณี นายจุน วนวิทย์ หรือ อากงจุน ผู้ก่อตั้งฮาตาริ แล้วก็ ครอบครัว ได้ร่วมบริจาคเงิน 900,000,000 บาท แก่มูลนิธิรามาธิบดีฯ โดยมี ศาสตราจารย์ แพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดี ภาควิชาแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมกับ รศ. ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ ผู้อำนวยการสถานศึกษาพยาบาลรามาธิบดี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์ภาวิทย์ เพียรวิจิตร รองคณบดีข้างสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนร่วมรับมอบ

ซึ่งถือได้ว่าเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถูกแชร์ไปในโซเชียลเป็นจำนวนมาก ทำให้มีชาวเน็ตเข้ามาอนุโมทนา กับการบริจาคเงินปริมาณอย่างมากมายในครั้งนี้ ซึ่งสามารถรักษา และก็ ช่วยชีวิตผู้คนได้อีกเยอะมาก

แต่ว่าแล้วดูราวกับว่า คนดีในสังคมต้องมีมารมาผจญ เมื่อมีฝูงชนบ้าการเมืองฝั่งสามนิ้ว เริ่มเข้ามาโจมตี นายจุน และ ครอบครัว ว่า เพราะอะไรจำเป็นต้องบริจาคให้กับมูลนิธิรามาธิบดีฯ ถึงขนาดผลักใส ให้อยู่อีกฝั่ง ในทางการเมืองโดยทันที

โดยเพจสาธารณะ The METTAD ได้โพสต์ เรื่องดังที่กล่าวผ่านมาแล้วซึ่งมีรายละเอียดว่า

“อากงจุน” ที่บริจาค มูลนิธิรามา

มีคนบริจาคให้มูลนิธิของโรงพยาบาล กระแสในเฟซมี 2 ทาง

– คนปกติ 1 อนุโมทนา ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งดี คราวหน้าจะอุดหนุน
– คนปกติ 2 เพราะเหตุไรจะต้องผลักมูลนิธินี้เป็นสลิ่ม รวมทั้ง พิมพ์อะไรคลุ้มคลั่งอีกยาวยืด

ทำให้มีประชากรไม่น้อยเลยทีเดียว ต่างเกิดความไม่ถูกใจ ที่อุตสาหะผลักคนที่ช่วยเหลือสังคม ให้เลือกฝั่งทางด้านการเมือง โดยมีรายละเอียดว่า

“ถ้าหาก Hatari บริจาคให้โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ มันคงจะเต้นหนักกว่านี้นะครับ”

“ก็มีแต่พวกสัตว์นรก 3 กีบ ที่เดือดดาลกับคนทำบุญ”

“คนไม่ปกติคือคนที่แยกแยะไม่ออก ว่า เงินบริจาคทำเพื่อใคร เพื่อประโยชน์อะไร ไม่ว่าแหล่งที่มาของเงินมาจากกลุ่มใครก็ตาม

ปล. ต่อให้กีบบริจาค คนปกติก็ควรร่วมอนุโมทนาบุญด้วยเช่นกัน”

“คนที่สอง น่าจะวิกลจริตนะ”

“ไอ้ปกติที่ 2 มันนร้อนๆ นะครับ”

“คนไม่ปกติ 3 เป็นพวกเห็นแก่ตัว เป็นพวกที่จะเอาแต่ประโยชน์เข้าตัวเองอย่างเดียว แถมอิจฉา เวลาคนอื่นทำประโยชน์ หรือทำเรื่องดีให้สังคม ต้องออกมาดิสเครดิตกัน”

ติดอันดับมหาเศรษฐีใจบุญ

เวลาเดียวกัน นาย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์เนื้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm ระบุว่า

“มาตรา 112 ต้องปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เข้มข้นขึ้น ไม่ใช่แก้ไขให้เสื่อมทรามลง เพื่อเปิดประตูให้พวกรู้น้อยแต่พูดมากมาแสดงความเห็นจาบจ้วงล่วงละเมิดให้ร้าย ทุกวันนี้ เราก็เห็นคนพูดมากรู้น้อยเยอะแยะไปหมด หรือพวกมโน ดรามาก็เยอะ”

ที่น่าดึงดูดไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา แชร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ของ จรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตยานนาวา – บางคอแหลม พรรคก้าวไกล หัวข้อ ใกล้เลือกตั้ง มีแต่ข่าวดีลรัฐบาล ไม่มีเวลาทำงานให้ประชาชน

โดยกล่าวว่า เมื่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งใกล้มาทุกที พร้อมด้วยข้อตกลงหาร 100 ที่แจ้งชัดแล้ว จึงถึงเทศกาลแห่งการ ดีลรายวัน สวนกับการทำงานให้ประชาชน ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายในขณะนี้

ยิ่งบรรดาพรรคเล็กมีความเห็นว่า อาจจะไม่รอด กับการเลือกตั้งรูปแบบนี้ จึงรีบควบรวมกันครึกโครม ส่วนพรรคใหญ่ ก็ช้อปกันสนุกสนาน สะท้อนปัญหาคลาสิกชั่วกัลปวสานของการบ้านการเมืองไทย ที่พรรคการเมือง ยังไม่ใช่ตัวแทนของอุดมการณ์ แต่ลักษณะของสมการที่เปลี่ยนแปลงไปกับการได้มาซึ่งอำนาจ เป็นสำคัญ หรือ แม้มีผลผลดีพอดีก็พร้อมไปกับทุกขั้ว โดยไม่สน ว่าก่อนหน้าเคยบอกกับราษฎรไว้ว่าอย่างไร

ประเด็นนี้ว่าห่วยแตกแล้ว แต่ก็ยังเกิดเรื่องเชิงโครงสร้างที่จำเป็นต้องขจัดปัญหากันไป แต่เรื่องใหญ่กว่านั้นหมายถึง ระหว่างการดีลกันวุ่นวายขณะนี้ ปัญหาของประชาชน ก็พลอยมิได้รับการปรับแต่งไปด้วย คือ ไม่เหลือสมาธิ จะทำงานบ้านงานเมืองกันแล้ว

ถ้าหากใครไม่เชื่อ ขอให้ทดลองไปเปิดโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ข่วงนี้ดู มีแต่ข่าวสารปัญหาด้านสังคมเต็มไปหมด ชีวิตชาวบ้านก็ทุกข์ยากลำบาก หาเลี้ยงชีพยากอย่างมาก ยาม้าก็มากมาย ฆ่ากันก็แยะ โรคระบาดก็กลับมา แม้กระนั้นไม่มีใครคิดเอาใจใส่

ขนาดพื้นที่โดนอุทกภัยหนัก บ้านจมเป็นเดือน ๆ บางหลังก็ยังได้ชดเชยเพียงแค่หลักร้อย ดีหน่อยก็หลักพัน ดำเนินการกันราวกับไม่มีรัฐบาล ในนาทีนี้

ด้วยเหตุนี้ ก่อนพ่อแม่พี่น้องประชาชนจะทนทุกข์ทรมานกันมากไปกว่านี้ ยังไงผมก็ขอฝากถึงรัฐมนตรีทุกคน หัวหน้าพรรค ทุกพรรค รวมถึง หัวหน้ามุ้งต่าง ๆ ในรัฐบาลชุดนี้สักนิดว่า จะดีลอะไรกันก็ทำไป แต่อย่าลืมตนเองว่าเป็นรัฐบาลอยู่ ยังมีบทบาทบริหารประเทศ ยังไงก็สละเวลามาดำเนินการกันบ้างนะครับ https://www.facebook.com/101372342567471/posts/180684211302950/

แน่นอน, ใจความสำคัญที่น่าสนใจ ก็คือ กรณี “Forbes” ยกย่อง “อากงจุน” ผู้จัดตั้งฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจบุญแห่งเอเชีย ที่สะท้อนให้มองเห็น “ความดี” ไม่มี “ขั้ว” ด้านการเมือง และไม่มีข้าง แม้แม้กระนั้นมีจิตใจเป็นบุญกุศล และก็ เห็นแก่สังคมสาธารณะมากยิ่งกว่าส่วนตัว

ข้อเท็จจริง ไม่เพียง “มหาเศรษฐี” ทั้งหลายสมควรเอาเป็นแบบอย่าง อย่างน้อยก็คืนกำไรให้สังคมบ้าง ที่กอบโกยไปแล้วมากมายมหาศาล

ถ้าแต่ “ติ่ง” ทางการเมือง ก็ควรให้ “เครดิต” มากยิ่งกว่า เอามาแบ่งฝัก แบ่งข้าง ด้านการเมือง ด้วยเหตุว่าไม่อย่างนั้น สังคมจะยิ่งอยู่ยาก และก็ ทางแคบลงไป จนแทบสร้างกำแพงกั้นเลยทีเดียว หรือไม่จริง!?